ดูรายละเอียด

การตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่ (Transvaginal ultrasound) คืออะไร?

เป็นการตรวจดูอวัยวะในอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง ได้แก่ มดลูก และรังไข่ โดยการอัลตร้าซาวด์ผ่าน ช่องคลอด ซึ่งเข้ามามีบทบาททางการแพทย์มากเพราะสามารถเห็นอวัยวะในอุ้งเชิงกรานได้ชัดเจนกว่าการอัลตร้าซาวด์ผ่านทางหน้าท้อง มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของมดลูก โพรงมดลูก รังไข่ เช่น เนื้องอกที่มดลูก ซีสต์ที่รังไข่ เป็นต้น

 

ทำไมต้องตรวจตรวจหาความผิดปกติของมดลูกและรังไข่

การตรวจอัลตร้าซาวด์ มดลูกและรังไข่ ไม่ได้เป็นเพียงการหาความผิดปกติ แต่ยังเป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค เช่น

  • ตรวจหาเนื้องอกในมดลูก

  • ซีสต์หรือถุงน้ำของรังไข่ เช่น ช็อคโกแลตซีสต์

  • ความผิดปกติในโพรงมดลูก เช่น ติ่งเนื้อ

  • ความผิดปกติของปากมดลูกและช่องคลอด

  • มะเร็งปากมดลูก

ใครบ้างที่ควรตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่

  • ผู้หญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรืออายุน้อยกว่าแต่พบปัญหาดังนี้

  • ปวดท้องน้อย หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ

  • คลำพบก้อนที่ท้องน้อย

  • หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคทางนรีเวช ควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี

การเตรียมตัวก่อนตรวจภายใน และอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่

  • แนะนำให้เข้ารับการตรวจหลัง หมดประจำเดือนอย่างน้อย 3 วัน

  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด หรือไม่ใช้ยาเหน็บทางช่องคลอดภายใน 2 วัน ก่อนเข้ารับการตรวจ

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนเข้ารับการตรวจอย่างน้อย 1 วัน

  • กรณีมีประจำเดือน หรือปวดท้องประจำเดือนอย่างมาก สามารถปรึกษาแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนหมดก่อน

  • สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไม่รัดจนเกินไป และปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้ารับการตรวจ

.......................................................................

 

 

Rehabilitation

การทำกายภาพบำบัดตามจุดที่ปวดเมื่อย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูที่มุ่งเน้นการรักษาและบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อหรือข้อต่อในบริเวณเฉพาะ การทำกายภาพบำบัดแบบนี้สามารถช่วยร่างกายได้หลายด้าน

1. บรรเทาความเจ็บปวด

  • การบำบัดด้วยความร้อนและความเย็น: การใช้ความร้อนหรือความเย็นช่วยลดความเจ็บปวดและการอักเสบในบริเวณที่มีอาการ

  • การนวดบำบัด: การนวดช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงและลดความเจ็บปวด โดยการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

2. เพิ่มความยืดหยุ่นและขอบเขตการเคลื่อนไหว

  • การออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อ: การทำท่าฝึกยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ

  • การฝึกการเคลื่อนไหว: การทำแบบฝึกหัดเพื่อเพิ่มขอบเขตการเคลื่อนไหว (Range of Motion Exercises) ช่วยให้ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่

3. เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

  • การออกกำลังกายบำบัด: การทำแบบฝึกหัดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในบริเวณที่มีปัญหา ช่วยเพิ่มความทนทานและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บซ้ำ

  • การฝึกกล้ามเนื้อที่มีการสนับสนุน: การฝึกกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือการทำงานของกล้ามเนื้อที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของบริเวณที่มีอาการ

4. ปรับปรุงการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย

  • การฝึกท่าทางที่ถูกต้อง: การสอนการเคลื่อนไหวและท่าทางที่ถูกต้องช่วยป้องกันความเครียดที่ไม่จำเป็นต่อกล้ามเนื้อและข้อต่อ

  • การฝึกการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ: การทำให้การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสที่กล้ามเนื้อหรือข้อต่อจะถูกใช้งานผิดวิธี

5. ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด

  • การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด: การใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การนวดหรือการทำการฝึกที่เน้นการเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีปัญหา

6. ลดการอักเสบและการบวม

  • การบำบัดด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation): การใช้กระแสไฟฟ้าต่ำในการบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ

  • การบำบัดด้วยการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy): การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อช่วยลดการอักเสบและเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

7. เพิ่มความรู้สึกของการควบคุมและการทรงตัว

  • การฝึกการทรงตัว (Balance Training): การฝึกเพื่อพัฒนาความสามารถในการควบคุมและการทรงตัว ลดความเสี่ยงจากการหกล้ม

8. ส่งเสริมการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

  • การฝึกการเคลื่อนไหวและการบำบัดด้วยการใช้คลื่นเสียง: การเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่เสียหายหรือบาดเจ็บ

ขั้นตอนของการทำกายภาพบำบัดตามจุดที่ปวดเมื่อย:

  1. การประเมินและวินิจฉัย: ตรวจสอบอาการและหาสาเหตุของความเจ็บปวดหรือปัญหา

  2. การพัฒนาแผนการรักษา: สร้างแผนการรักษาที่ครอบคลุมตามผลการประเมิน

  3. การดำเนินการบำบัด: ใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกายบำบัด, การนวด, หรือการใช้เครื่องมือช่วยในการรักษา

  4. การติดตามผลและปรับปรุง: ติดตามความก้าวหน้าและปรับแผนการรักษาตามความต้องการ

การทำกายภาพบำบัดที่ตรงจุดและเหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการปวด, ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ, และปรับปรุงการทำงานของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ